เทคโนโลยีกับความมั่นคงในระบบพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

48. PJSecureTechnology

สรุปประเด็นหลัก

  • สัดส่วนการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ยังไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตไฟฟ้าทั้งระบบ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในระบบโดยรวม ซึ่งต้องการอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์
  • เทคโนโลยีใหม่จะช่วยแก้ไขปัญหาความมั่นคงในระบบ ทำให้ได้ไฟฟ้าต้นทุนต่ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เชื่อถือได้ 
  • ในประเทศไทยเริ่มมีการใช้สมาร์ทกริด (Smart grid) คือ การใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อช่วยสร้างความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้า

 

บทนำ

         นวัตกรรมเทคโนโลยีด้านพลังงานทำให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนไปในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยพลังงานแสงอาทิตย์ถูกผลิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพื่อลดค่าใช้จ่าย ความนิยมที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากอุปกรณ์ที่ถูกลงและยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จึงถูกจับตามองว่า จะกระทบกับความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศหรือไม่ เมื่อมีการผลิตไฟใช้เองมากขึ้น เนื่องจากต้องมีการสำรองไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟโดยรวม

 

วัตถุประสงค์ของบทความ

         เพื่อนำเสนอแนวคิดการนำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

 

แนวโน้มอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์

         ในปัจจุบันสัดส่วนพลังงานแสงอาทิตย์ยังไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของระบบไฟฟ้า และแม้หากติดตั้งตามแผนพลังงานไฟฟ้า PDP 2018 ก็เป็นสัดส่วนเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานไฟฟ้าทั้งระบบ ถือว่าสัดส่วนยังไม่มากจนกระทั่งส่งผลกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าหรือการต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อสำรองไฟฟ้า ซึ่ง ดร.วิชสินี วิบุลผลประเสริฐ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้เคยระบุว่า ขณะนี้ ประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้ติดตั้งยังไม่มาก โดยยังไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการไฟฟ้า จนส่งผลกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าจนต้องมีการเก็บค่าไฟฟ้าสำรอง หรือการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในระยะสั้น โดยได้ยกตัวอย่างจาก Lawrence Berkeley National Lab ที่ศึกษาพบว่า ผลกระทบต่อการไฟฟ้าและราคาไฟฟ้าจะเริ่มชัดเจนเมื่อการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการไฟฟ้าทั้งหมด

         อย่างไรก็ตาม ความกังวลดังกล่าว สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการ โดยเมื่อต้นปี พ.ศ. 2563 บริษัท หัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีนร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในวงการพลังงานแสงอาทิตย์เปิดเผย 10 แนวโน้มที่น่าสนใจในแวดวงเซลล์แสงอาทิตย์อัจฉริยะในปี พ.ศ. 2568 แบ่งออกเป็น 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ การลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Levelized Cost of Electricity -LCOE), โรงไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การหลอมรวมอัจฉริยะ ตลอดจนเรื่องของความมั่นคงและเชื่อถือได้ โดยเทรนด์เหล่านี้มีจุดมุ่งหมายที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปสู่ระบบอัจฉริยะและโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับนวัตกรรมและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอุตสาหกรรมพลังงานใหม่

         สำหรับ 10 เทรนด์มาแรงที่คาดว่า จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ภายในปี พ.ศ. 2568 ประกอบด้วย

  1. การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล: โรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกจะเข้าสู่ระบบดิจิทัลในอีก 5 ปีข้างหน้า
  2. ยกระดับความอัจฉริยะด้วย AI โรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์กว่า 70 เปอร์เซ็นต์จะหันมาใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent – AI) โดยการนำ AI เข้ามาใช้กับเซลล์แสงอาทิตย์จะช่วยทำให้การทำงานของระบบตรวจจับและการเชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างอุปกรณ์เป็นไปอย่างราบรื่น และจะช่วยยกระดับการผลิตพลังงานและประสิทธิภาพของการปฏิบัติการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance – O&M)
    อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ เทคโนโลยี AI ยังมอบวิธีการทำงานใหม่ ๆ ให้กับระบบเซลล์แสงอาทิตย์ ประกอบด้วย การป้องกันโมดูลและระบุความผิดพลาดของเครื่องมือด้วยอัลกอริทึมการวิเคราะห์จาก AI, การติดตามการใช้งานอัลกอริทึมอย่างเหมาะสมด้วยข้อมูลมหาศาลและระบบการเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อมอบผลตอบแทนที่มากขึ้น และการประสานงานกันของระบบจัดเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย AI เพื่อสร้างรายได้สูงสุดให้กับโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ ทั้งนี้ ด้วยความที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ลดลง ขณะที่ความซับซ้อนของ O&M
    มากขึ้น ผู้ประกอบการจึงมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้เทคโนโลยี AI กันมากขึ้นในอนาคต
  3. โรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ไร้มนุษย์ภาระงานในโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์กว่า 80 เปอร์เซ็นต์จะไม่ต้องใช้มนุษย์อีกต่อไปด้วยความสามารถของ AI และ IoT (Internet of Things) ผลิตภัณฑ์และบริการอัจฉริยะจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับระบบการทำงานของเซลล์แสงอาทิตย์ทั้งหมด ด้วยการผสานรวมประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญเข้ากับกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง โรงไฟฟ้าต่าง ๆ จึงมีแนวโน้มที่จะใช้ AI มาแทนที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน O&M ในแง่ของการวิเคราะห์และการตัดสินใจ ส่วนโดรนสำรวจและหุ่นยนต์ O&M จะรับหน้าที่ดูแลงานที่อันตรายหรือต้องทำซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง เพื่อยกระดับผลิตภาพและความปลอดภัยในโรงไฟฟ้า 
  4. สนับสนุนโรงงานไฟฟ้าอย่างเต็มกำลัง โรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์จะเปลี่ยนบทบาทจาก “การปรับตัวตามโรงงานไฟฟ้า” สู่ “การสนับสนุนโรงงานไฟฟ้า”
  5. เซลล์แสงอาทิตย์ + การจัดเก็บ โดยคาดว่าในปี พ.ศ. 2568 สัดส่วนของระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่มา
    คู่กับการกักเก็บพลังงานจะมีมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะทำให้แบตเตอรี่มีราคาถูกลง 
  6. โรงไฟฟ้าเสมือน: ระบบที่อยู่อาศัยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จะเชื่อมต่อกับเครือข่ายโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant – VPP) ใน 5 ปีข้างหน้า จะมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ ICT เช่น 5G, ฺblockchain และบริการคลาวด์ (Cloud service) ไปใช้กันอย่างกว้างขวางในโรงไฟฟ้าที่กระจายอยู่ทั่วไป จึงต้องมีการสร้าง VPP ขึ้นมาเพื่อดูแลการบริหารจัดการร่วมกัน และช่วยกันกำหนดในเรื่องเวลา การทำธุรกรรม และบริการเสริมสำหรับระบบพลังงาน นอกจากนี้ การพัฒนาขึ้นของเทคโนโลยี VPP ยังจะก่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และดึงดูดผู้เล่น
    หน้าใหม่เข้าสู่ตลาดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะกลายมาเป็นกลไกการเติบโตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่อไป
  7. ความปลอดภัยในการใช้งาน เทคโนโลยีตัดวงจรอาร์กฟอลต์ (Arc Fault Circuit Interrupter – AFCI) จะกลายเป็นฟีเจอร์ที่ต้องมีในระบบการจำหน่ายไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา และจะกลายมาเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ
  8. ความหนาแน่นของพลังงานที่สูงกว่าเดิม ด้วยแนวโน้มการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยไฟฟ้าปรับเฉลี่ย (LCOE) ของเซลล์แสงอาทิตย์ ทำให้โมดูลเดี่ยวมีความต้องการพลังงานที่สูงขึ้น ดังนั้น ความหนาแน่นพลังงานของอินเวอร์เตอร์ (Inverter power density) จะถูกพัฒนาเพิ่มขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ใน 5 ปีข้างหน้า
  9. ดีไซน์แบบแยกส่วน (Modular design) ด้วยส่วนประกอบหลักของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น อินเวอร์เตอร์, Energy storage power conversion system (PCS) และอุปกรณ์กักเก็บพลังงานที่ได้รับการออกแบบให้สามารถแยกส่วนได้ เพื่อช่วยลดต้นทุนทั้งในแง่ของการดำเนินงาน การบำรุงรักษา (O&M) และการปรับปรุงระบบเดิมให้ดีขึ้น
  10. ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ เป็นข้อกำหนดที่จำเป็นสำหรับโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ทั่วโลก ในขณะเดียวกัน ข้อกำหนดในเรื่องของความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้งานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำเป็นจะต้องมีความเข้มงวดในเรื่องความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือเพื่อความไว้วางใจ ความพร้อมใช้งาน ความปลอดภัย ความยืดหยุ่น และความเป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าเดิม

         ในขณะที่ประเทศไทยเอง สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดทำแผน “สมาร์ทกริด” (Smart grid) หรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ คือ การนำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกันในระบบไฟฟ้า โดยครอบคลุมเทคโนโลยีด้านการผลิตไฟฟ้า ด้านการส่งไฟฟ้า ด้านการจำหน่ายไฟฟ้า ไปจนถึงด้านผู้ใช้ไฟฟ้า ทำให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรที่น้อยลง ซึ่ง สนพ. กำหนดให้เป็นหนึ่งในนโยบายการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศ และกระทรวงพลังงานยังได้มีการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดระยะยาว 20 ปี (พ.ศ. 2558 – 2579) มีการแบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะเตรียมการ (พ.ศ. 2558 – 2559) ระยะสั้น (พ.ศ. 2560 – 2564) ระยะปานกลาง (พ.ศ. 2565 – 2574) และระยะยาว (พ.ศ. 2575 – 2579) เพื่อเป็นกลไกสำคัญที่จะพัฒนาไปสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่มั่นคงและเพียงพอ 

         สำหรับแผนพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ดกริดนั้นได้ถูกบรรจุเข้าไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่ (PDP 2018) ด้วย 

         โดยแผนการขับเคลื่อนการดำเนินการในช่วงระยะสั้นนั้นได้เน้นไปยัง 5 กลุ่ม ได้แก่ ระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) การออกแบบกลไกราคาและสิ่งจูงใจ และการตอบสนองด้านโหลด (Pricing & incentive Design & Demand Response) ระบบไมโครกริด (Microgrid) ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy StorageSystem: ESS) การพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนประเภทลมและแสงอาทิตย์ (Wind & Solar Power Forecast)

         Energy Storage System (ESS) “ระบบกักเก็บพลังงาน” ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา ให้สามารถสั่งจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดความผันผวนของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทนให้มีความเสถียรมากขึ้น และยังเปรียบเสมือน Power Bank พลังงานสำรอง เข้าเสริมระบบเมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

         ในประเทศไทยก็มีโครงการระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และมีขนาดกว่า 1.5 MWh (1,500 kWh) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประทศไทยก็ได้มีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อลดปัญหาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอ ให้มีความผันผวนของกระแสไฟฟ้าน้อยลงและสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้มั่นคงยิ่งขึ้น อีกทั้งรองรับการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในอนาคต โดยมีโครงการนำร่อง 2 แห่ง และกำหนดเริ่มใช้งานในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 คือ

         – สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ กำลังผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง

         – สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี กำลังผลิตติดตั้ง 21 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง

         ทั้งนี้ ในรายงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่เผยแพร่เมื่อต้นปี พ.ศ. 2563 ระบุว่า การนำระบบกักเก็บพลังงานมาใช้ร่วมในภาคการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานระหว่างพลังงานหมุนเวียนกับเชื้อเพลิงฟอสซิลจึงเป็นความท้าทาย และเป็นกุญแจปลดล็อคสู่ความมั่นคงของพลังงานแห่งอนาคต จึงถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยในการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา ให้สามารถสั่งจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดความผันผวนของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้มีความเสถียรมากขึ้น และยังเปรียบเสมือนพลังงานสำรอง เข้ามาเสริมระบบเมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

         นอกจาก Energy Storage ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแล้ว เทคโนโลยี Blockchain และ AI จะมีบทบาทมากขึ้นต่อรูปแบบการซื้อขายพลังงานมากขึ้น  

         ในอนาคตตลาดไฟฟ้าย่อมเปลี่ยนไป นั่นคือผู้บริโภค (Consumer) จะกลายเป็นผู้ผลิตเพื่อใช้เองและขายไฟเข้าระบบ (Prosumer) ในที่สุด รูปแบบนี้ย่อมจะสะเทือนกับหลายหน่วยงานทั้งฝ่ายกำกับ รวมถึง 3 การไฟฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

         สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ศึกษารูปแบบในหลายประเทศในการนำมาปรับใช้กับไทยให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยเฉพาะ Peer to peer Energy Trading (P2P) หรือระบบการซื้อขายไฟฟ้ากันเองระหว่างประชาชนกับประชาชน หรือระหว่างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนกับชุมชนโดยรอบ
ซึ่งเทคโนโลยี Blockchain จะเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาช่วยให้การซื้อขายแบบ Peer to Peer (P2P)  มีประสิทธิภาพ

         “รูปแบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต้องศึกษารูปแบบในหลายประเทศในการนำมาปรับใช้กับไทยให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยเฉพาะ Peer to peer Energy Trading (P2P) หรือระบบการซื้อขายไฟฟ้ากันเองระหว่างประชาชนกับประชาชน หรือระหว่างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนกับชุมชนโดยรอบ ซึ่งเทคโนโลยี Blockchain จะเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาช่วยให้การซื้อขายแบบ Peer to Peer มีประสิทธิภาพ” คมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. กล่าวระหว่างการเดินทางไปศึกษาดูเทคโนโลยีด้านไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นเมื่อต้นปี พ.ศ. 2563

         ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เปิดโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการพลังงาน (ERC Sandbox) เพื่อให้ภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมเมื่อเดือน กันยายน พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ผ่านการพิจารณาและได้รับสิทธิเข้าร่วมในโครงการทดสอบ จำนวน
34 โครงการ จากการยื่นข้อเสนอทั้งสิ้น 183 โครงการ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นโครงการทดสอบเกี่ยวกับเก็บกักประจุไฟฟ้า (Battery Storage) จำนวน 9 ราย โครงการทดสอบเกี่ยวกับการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันโดยไม่ผ่านระบบจำหน่าย (Peer to Peer Energy Trading & Bilateral Energy Trading) จำนวน 8 ราย และโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กไม่ผ่านระบบจำหน่าย (Micro Grid) จำนวน 6 ราย 

 

บทสรุป

         เทรนด์ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก และมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาบริหาหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็น Digitization and Energy Big Data การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานแบบดิจิทัลอย่างถูกต้อง จะมีส่วนช่วยในการลดการใช้และเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานได้อย่างดี ข้อมูลจะสามารถนำมาใช้ในการบริหารจัดการการผลิตและใช้พลังงานได้อย่างสมดุล สามารถลดการสูญเสียพลังงานได้ นอกจากนี้ การใช้ AI เข้ามาช่วยจะก้าวข้ามขีดจำกัดในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ทำนายแนวโน้มและเพิ่มศักยภาพของการควบคุมระบบพลังงานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เช่น Supply Chain Digitization จะทำให้สามารถรับทราบข้อมูลได้ตลอดกระบวนการและใช้ระบบอัตโนมัติจัดการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ นอกจากนั้น การใช้ AI ยังสามารถช่วยในการทำ Predictive Maintenance เพื่อลดการสูญเสียพลังงานและการหยุดดำเนินการอย่างฉับพลันของอุตสาหกรรมการผลิตได้

 

อ้างอิง

ไทยพับลิก้า. (2562).  “สมาร์ทกริด” เทคโนโลยีการบริหารจัดการระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อเมืองอนาคต. จาก https://thaipublica.org/2019/11/eppo-smart-grid-electric-technology/  

Green Network. (2563).  เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน ทางเลือกการบริหารจัดการภาระต้นทุนการต่อเชื่อมกับสายส่ง (Grid connection costs). จาก https://www.greennetworkthailand.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99/?fbclid=IwAR1ryhlV3t-4Lg8TGwE4IoLPpybNFfrDtyZaGOmVHWGN6Limlfo2nZUdbKA 

Green Network. (2562).  แนวโน้มพลังงานแห่งอนาคต (Future Energy Trend). จาก https://www.greennetworkthailand.com/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-2020/?fbclid=IwAR3pplYICTxwzAD5oc1wfCoAdfayOeSKNDj5wvTRBYyif86sxE-lsdt57HM  

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน. (2559).  แผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ท
กริดของประเทศไทยในระยะสั้น (พ.ศ. 2560 – 2564). จากhttp://www.eppo.go.th/images/Power/pdf/smart_grid_actionplan.pdf 

สำนักข่าวอิศรา. (2560).  นักวิจัย แนะรัฐปรับโครงสร้างคิดค่าไฟ รับโซลาร์รูฟให้ทันการเปลี่ยนแปลง. จากhttps://www.isranews.org/isranews-news/57907-solar.html?fbclid=IwAR3rFosTgwYA22Vzxomf9M3wZLySMgyHCTB2sDP5UrW0IA1wIsDUxgBNy20 

ผู้จัดการออนไลน์. (2563).  รูปแบบซื้อขายไฟจะเปลี่ยนไป! ความท้าทายที่ไทยต้องเตรียมพร้อม. จาก https://mgronline.com/business/detail/9630000018583?fbclid=IwAR0jtymcQTHO5Fo8G0UZvXQgbjUtHHREuFifiy-yNgbGF9EC6mCXzZnazLI 

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย. (2563). “ระบบกักเก็บพลังงาน” กุญแจปลดล็อคสู่ความมั่นคงของพลังงานแห่งอนาคต. จากhttps://www.egat.co.th/egattoday/index.php?option=com_k2&view=item&id=9678%3A20200701-egatsp&Itemid=129&fbclid=IwAR3CQXTNdGBVmp1l23V4-z9IVy2wn_xfXR00iUFveFRfUEqyJ83WElcyiqQ/ 

Green Network. (2563).  หัวเว่ยเผยคาดการณ์ 10 เทรนด์มาแรงในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในอีก 5 ปีข้างหน้า. จาก https://www.greennetworkthailand.com/trends-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C/