สรุปประเด็นหลัก
- มีข้อถกเถียงในแวดวงพลังงานว่า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยิ่งมากเท่าไร ยิ่งจะทำให้ความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของประเทศลดลงเท่านั้น เนื่องจากพลังงานแสงอาทิตย์มีความผันผวน
- การศึกษาของนักวิจัยจากหลายสถาบันโต้แย้งว่า การผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เพราะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชนิดนี้มีไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั้งหมดและบางส่วนไม่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าของประเทศ
- แม้ว่าแสงอาทิตย์จะมีความผันผวนมากตามสภาพดินฟ้าอากาศ แต่อยู่ในวิสัยที่จะออกแบบระบบมาจัดการได้ไม่ยากนัก แบตเตอรี่ที่ใช้ในการกักเก็บพลังงานไฟฟ้านับวันจะมีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าทำได้ดียิ่งขึ้น
บทนำ
จริงหรือที่ว่าการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไร ยิ่งกระทบกับความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งในด้านเสถียรภาพของระบบผลิตไฟฟ้า ปัญหา Peak load และ Duck curve ในระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ผลิตมากในช่วงกลางวันแต่ใช้งานมากในช่วงกลางคืน และรัฐต้องมีการสำรองไฟฟ้าไว้ในสัดส่วนเดียวกับพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแสงอาทิตย์ ภาระตกกับผู้ใช้ไฟฟ้าคนอื่น ๆ และปัญหาค่าใช้จ่ายการวางระบบสายส่ง และการสูญเสียระหว่างทาง เป็นต้น
วัตถุประสงค์ของบทความ
เพื่อนำเสนอนโยบายด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของภาครัฐในปัจจุบันซึ่งอาจส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคต
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์: ความมั่นคงทางพลังงานไทย ?
ประเด็นดังกล่าวได้มีการพูดถึงมาตลอดนับตั้งแต่พลังงานแสงอาทิตย์ได้รับความสนใจว่าเป็นพลังงานสะอาด ที่จะมาทดแทนพลังงานฟอสซิล อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และมีการเพิ่มสัดส่วนมากยิ่งขึ้นในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 (PDP 2018) ถึง 10,000 เมกะวัตต์ ประกอบกับอุปกรณ์เกี่ยวกับโซลาร์เซลล์ราคาถูกลงเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้เกิดความนิยมในการติดตั้ง ทั้งในครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม
แต่แทนที่การคาดการณ์ว่าจะมีการติดตั้งที่มากขึ้น ประชาชนผลิตไฟฟ้าได้เองมากขึ้นน่าจะเกิดความมั่นคงกับภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ภาครัฐน่าจะสบายใจ แต่กลับเป็นการสร้างความกังวลให้กับภาครัฐอย่างกระทรวงพลังงาน ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายที่ผูกขาดไฟฟ้าอย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
กรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ อดีตผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวเมื่อปีที่ผ่านมาในระหว่างการปรับปรุงแผนการผลิตไฟฟ้าว่า การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ไม่ควรจะมีสัดส่วนที่มากเกินไปในช่วง 10 ปีแรกของแผน PDP 2018 เนื่องจากเป็นไฟฟ้าที่ยังไม่เสถียรและราคาของระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานยังคงแพง อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเทียมที่ยังเป็นปัญหา โดยยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ และมีปัญหา Duck Curve กล่าวคือ ในช่วงเวลากลางวัน จะมีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เข้ามาในปริมาณที่มาก ทำให้ กฟผ. ต้องลดกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าของตัวเองลง แต่ช่วงเวลากลางคืนที่ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ผลิตไม่ได้ กำลังการผลิตวูบหายไปทันที ในขณะที่ กฟผ. ต้องเร่งเดินเครื่องกำลังการผลิตเพื่อเติมให้ทันกับความต้องการใช้ไฟฟ้า
กรศิษฏ์กล่าวว่า โรงไฟฟ้าของ กฟผ. ยังมีข้อจำกัดในการหรี่กำลังการผลิตลงได้เหลือ 30 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น หากหรี่ลงมากกว่านี้โรงไฟฟ้าก็จะดับ ต้องหยุดเดินเครื่องไปเลย การสตาร์ทเครื่องใหม่ ต้องใช้เวลาโดยที่ผ่านมา เราปล่อยให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ ในพื้นที่ที่ไม่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า แต่ใช้วิธีสร้างสายส่งเข้าไปรับซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะกลายเป็นต้นทุนที่ไปเก็บกับประชาชน และไฟฟ้าที่ส่งเข้ามาก็สูญเสียในสายส่งไปหมด ซึ่งตรงข้ามกับต่างประเทศ ที่เขาออกแบบให้พลังงานหมุนเวียน อย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ให้อยู่ใกล้กับชุมชนที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยที่มีการออกแบบระบบไมโครกริด สมาร์ทกริดรองรับ รวมทั้งสามารถที่จะสั่งให้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหยุดผลิตได้ หากไปกระทบกับระบบไฟฟ้าโดยรวม ยกตัวอย่างพลังงานลมที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีรายได้หลักมาจากถูกสั่งหยุดเดินเครื่อง แต่ในกรณีของประเทศไทย ยังไม่มีการสั่งให้หยุดจึงกลายเป็นปัญหาในการบริหารจัดการความมั่นคงของระบบ รวมทั้งข้อมูลจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจำนวนมาก ก็ยังไม่ถูกเชื่อมโยงให้ กฟผ. ได้รับรู้ล่วงหน้าด้วย
ความจริงในปัจจุบัน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ยังไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ของระบบไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศและในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 (PDP 2018) ระบบสัดส่วนของพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 20 เปอร์เซ็นต์ ก๊าซธรรมชาติ 52 เปอร์เซ็นต์ ถ่านหิน
12 เปอร์เซ็นต์ อนุรักษ์พลังงาน 8 เปอร์เซ็นต์ และซื้อจากต่างประเทศ 9 เปอร์เซ็นต์
ในช่วงปี พ.ศ. 2560 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีการศึกษากำหนดอัตราระบบสำรองไฟฟ้า เพื่อรองรับกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าแบบผลิตใช้เอง แม้จะระบุว่ามุ่งจะเก็บกับผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองรายใหญ่ เช่นในกลุ่มโรงงาน หรือห้างสรรพสินค้า ไม่ได้จัดเก็บผู้ผลิตไฟฟ้าจากครัวเรือน โดยอัตราจัดเก็บที่ออกมาเป็นข่าวในช่วงนั้นคือ 100 – 200 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมนำร่องจัดเก็บอัตราค่าบริการสายส่งและจำหน่าย (Willing change) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ที่ผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการหรือโรงงานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อลดปัญหาความซ้ำซ้อนในการลงทุนก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า และลดผลกระทบต่อรายได้ของการไฟฟ้าฯ ที่หายไปเช่นกัน
ขณะเดียวกัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ลงทุนไปกับงานวิจัยเพื่อให้สามารถนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง โดยไม่กระทบต่อราคา และเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม เช่น โครงการ Smart grid, Smart City, Smart substation, Micro-grid, Energy storage Systems, Battery Farm, Floating Solar, Smart power plant เป็นต้น
จากประเด็นดังกล่าว สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เผยแพร่บทความ “มอง” ให้เห็นโอกาสของพลังงานลมและแสงอาทิตย์ จาก 6 ความเชื่อ (Myths) และข้อเท็จจริง (Reality) เกี่ยวกับการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวนเข้ามาในระบบไฟฟ้า
ความเชื่อที่ 1: ความผันผวนที่เกิดจากลมและแสงอาทิตย์เป็นสิ่งที่จัดการไม่ได้ ที่จริงแล้วลมและแสงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่จัดการได้แม้ลมและแดดมีการเปลี่ยนแปลง แต่ระบบไฟฟ้าในปัจจุบันจัดการกับความต้องการใช้ไฟฟ้า (Power demand) ที่มีความผันผวนอยู่แล้ว ดังนั้น ความผันผวนจากสภาพอากาศของพลังงานหมุนเวียนในระยะสั้นแทบแยกไม่ออกกับความผันผวนเดิมที่มีอยู่ และสามารถจัดการได้ นอกจากนี้ หากมีระบบพลังงานหมุนเวียนกระจายหลายที่ก็จะช่วยให้ความผันผวนโดยรวมหายไป
ความเชื่อที่ 2 : การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า ต้องมีการปรับการผลิตไฟขึ้น – ลงบ่อยครั้งจะเพิ่มต้นทุนให้ระบบไฟฟ้า โดยต้นทุนของพลังงานหมุนเวียน จัดการได้ในระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ของประเทศที่ยังมีสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนไม่มาก ความผันผวนจากพลังงานหมุนเวียนจะน้อยมาก แม้ในอนาคตที่จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โรงไฟฟ้าพลังความร้อนก็มีความสามารถทางเทคนิคในการปรับระดับการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้งได้ โดยไม่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และมีเทคโนโลยีพยากรณ์ผลผลิตไฟฟ้า ทำให้ปรับแผนการผลิตไฟฟ้าให้ใกล้กับเวลาปัจจุบัน (Real-time) มากที่สุด
ความเชื่อที่ 3 : พลังงานหมุนเวียนมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นต้องมีกำลังไฟฟ้าสำรองไว้ในสัดส่วน 1 ต่อ 1 ซึ่งพลังงานหมุนเวียน ไม่จำเป็นต้องสำรองไฟไว้แบบ 1 ต่อ 1 เช่น พลังงานลมและแสงอาทิตย์ขนาด 1 เมกะวัตต์ มีการผลิตไฟฟ้า ณ ขณะใดขณะหนึ่ง โดยเฉลี่ยไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของกำลังการผลิตสูงสุด ดังนั้น การจัดหากำลังผลิตไฟฟ้าสำรองไม่จำเป็นต้องถึงสัดส่วน 1 ต่อ 1 หรือสำรองเพียงส่วนที่ผลิตไฟฟ้าได้จริงเฉลี่ยต่อปีเท่านั้น
ผู้ดูแลระบบสามารถใช้วิธีการบริหารจัดการอื่น ๆ เพื่อรองรับความผันผวนนี้ได้ เช่น Demand-side response, battery storage ซึ่งการเตรียมการโดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย จะช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีความยืดหยุ่นและมีต้นทุนรวมต่ำกว่าการเตรียมกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองจากโรงไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว
ความเชื่อที่ 4 : ต้นทุนการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าแพงเกินไป ทั้งที่จริงต้นทุนโครงข่ายคิดเป็นเพียง 1 ใน10 ของการผลิตไฟฟ้า การปรับปรุงโครงข่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา มีต้นทุนในการขยายระบบส่งไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อแหล่งพลังงานลมอยู่ที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม อย่างไรก็ตาม ต้นทุนดังกล่าวมักจะผันแปรอย่างกว้าง ๆ หรือคิดเป็นหนึ่งในสิบของต้นทุน ซึ่งการขยายโครงข่ายมีประโยชน์เพิ่มเติมคือ การลดความคับคั่งของโครงข่ายไฟฟ้า (Transmission congestion) และการเพิ่มความมั่นคงในระบบส่งไฟฟ้า
ความเชื่อที่ 5: ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy storage) เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการรองรับความผันผวน จริง ๆ แล้ว ยังมีอีกหลายวิธีที่ช่วยรองรับความผันผวน เช่น มาตรการตอบสนองด้านความต้องการใช้ไฟฟ้า (Demand-side response, DSR) หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนไฟฟ้ากับระบบไฟฟ้าอื่น ๆ อันที่จริงแล้ว ระบบ
กักเก็บพลังงานเป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบของทางเลือกเท่านั้น
ความเชื่อที่ 6: พลังงานหมุนเวียนไม่มีแรงเฉื่อยจึงลดเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ซึ่งพลังงานลมและแสงอาทิตย์เป็นการช่วยเสริมระบบ ดังนั้น แรงเฉื่อยจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ไม่ได้มีแรงเฉื่อยเพื่อพยุงระบบไฟฟ้าดังเช่นโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม แต่ตราบใดที่สัดส่วนกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้ายังน้อยอยู่ ข้อกังวลเรื่องแรงเฉื่อยจะไม่เป็นปัญหา
ขณะที่ ดร.สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งเป็นนักวิชาการที่เผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ โดยตั้งเครือข่ายคนกินแดดขึ้นมา ได้โต้แย้งว่า ถ้าประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ และนำไฟฟ้ามาใช้
ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทั้งในครัวเรือนและการเกษตร การพึ่งตนเองได้ ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นคงในชีวิต
ดร.สมพร มองว่า การที่ประชาชนจะผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จำนวนมากจนภาครัฐและนักวิชาการกังวลเรื่องพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่มากเกินไปจะกระทบกับความมั่นคงนั้นว่า สนใจอยู่ที่รัฐว่าจะเอาอย่างไร ยกตัวอย่าง การใช้ไฟฟ้าวันอาทิตย์ที่จะเห็นว่า จะต่ำในช่วงกลางวันและจะสูงขึ้นในช่วงหัวค่ำ เพราะครอบครัวเริ่มกลับเข้ามาอยู่บ้านกัน ดังนั้น จะเห็นว่า การไฟฟ้าก็จะสามารถบริหารจัดการไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ เช่นเดียวกับที่บริหารจัดการไฟฟ้าในช่วงวันหยุด
“ประชาชนพึ่งตนเองได้ มันจะเกิดความไม่มั่นคงตรงไหน ผมไม่เข้าใจตรรกะนี้ ฝนตกแดดออก กี่เดือนกี่วัน มีระบบพยากรณ์อากาศอยู่แล้ว และคุณรู้ล่วงหน้าว่า พื้นที่ตรงนี้จะสำรองไฟฟ้าเท่าไร ผมไม่เชื่อว่าระดับวิศวกรที่การไฟฟ้าฯ มีอยู่จะคิดเรื่องนี้ไม่ได้ ยกเว้นแต่ว่าจะมองเรื่องนี้เป็นข้ออ้าง” ดร.สมพร กล่าวและว่า พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ยังไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ของระบบผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ดังนั้น บ้านเรือนที่ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อป และเชื่อมกับระบบสายส่งของการไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า On grid กลางคืนเขาก็จะใช้ไฟจากสายส่งการไฟฟ้าฯ ก็ไปบริหารตรงนี้ ไฟจากกลางวันที่เขาไม่ได้ใช้ การไฟฟ้าฯ ก็เอาไปบริหารขายให้หน่วยงานอื่น ถ้าบอกว่า ระบบผลิตไฟฟ้าของเขาไม่เสถียรหรือาจจะมีปัญหา ตนมองว่า การไฟฟ้าสามารถจัดการได้ ไม่ใช่เรื่องยากในเชิงวิศวกรรม
ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มี 3 รูปแบบ คือ แบบ Off-grid ไม่พึ่งพาระบบไฟฟ้าจากสายส่งตรงนี้ไม่ต้องกังวลว่า จะกระทบกับระบบสำรองไฟของการไฟฟ้าฯ แบบ On-grid พึ่งพาระบบไฟฟ้าจากสายส่ง สลับใช้เมื่อแผงโซลาร์เซลล์ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ และแบบ Hybrid ที่ร่วมใช้กับพลังงานอื่น ๆ เช่นน้ำมัน
ดร.สมพร ชี้ว่า รัฐต้องบริหารแบบสมาร์ท อนาคตแบตเตอรี่ที่เก็บไฟจะเก็บได้มากขึ้นและราคาถูกลง การผลิตไฟฟ้าก็จะยิ่งเปลี่ยนโฉมหน้าขึ้นไปอีก ถ้าการไฟฟ้าฯ คิดแต่ว่าจะได้ผลกำไรเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น คิดแบบนั้นก็ตาย จะอ้างว่า ต้องสร้างโรงไฟฟ้าสำรอง เนื่องจากคนใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และคนอื่น ๆ ต้องแบกรับภาระจากค่าไฟ ประเด็นนี้มันเป็นการผลักภาระให้ประชาชน เพราะตอนนี้ แม้ไม่มีการใช้โซลาร์เซลล์จำนวนที่มาก ๆ คุณก็ผลักภาระให้ประชาชนด้วยการสำรองไฟฟ้าที่มากเกินไป สร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมาก ต่อให้เดินเครื่องหรือไม่เดิน
ทางประชาชนก็ต้องจ่ายค่าพร้อมจ่าย (Ft) ให้การไฟฟ้าฯ เหมือนเดิม
ดร.สมพร ได้ยกตัวอย่างประเทศเยอรมนีที่ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นสัดส่วนของพลังงานไฟฟ้าทั้งระบบถึง 25 เปอร์เซ็นต์หรือประมาณ 47,000 เมกะวัตต์ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งระบบ ในขณะที่ของประเทศไทย พลังงานจากแสงอาทิตย์ในปัจจุบันมีเพียงแค่ 5 – 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นค่าไฟฟ้ามีข้อมูลว่า ในประเทศเยอรมนีมีการใช้พลังงานหมุนเวียน100 เปอร์เซ็นต์ แต่เขามีระบบสำรองถึง 150 เปอร์เซ็นต์ หากอยากให้พลังงานหมุนเวียนเป็นพลังงานหลักนอกจากนี้ ในเยอรมนี หากใช้ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์จะจ่ายค่าไฟฟ้าประมาณ 3 บาท ใช้พลังงานหมุนเวียนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าประมาณ 13.60 บาท เป็นต้น
ปี พ.ศ. | กำลังการผลิตสะสม (เมกะวัตต์สูงสุด) | กำลังการผลิตรายปี
(เมกะวัตต์สูงสุด) |
|||
เชื่อมต่อระบบจำหน่าย | ไม่เชื่อมต่อระบบ | รวมทั้งหมด | |||
พพ. | หน่วยงานอื่น | ||||
2551 | 4.06 | 3.20 | 26.13 | 33.39 | 0.89 |
2552 | 13.67 | 3.36 | 26.13 | 43.17 | 9.77 |
2553 | 19.57 | 3.52 | 26.13 | 49.22 | 6.05 |
2554 | 212.80 | 3.91 | 25.97 | 242.68 | 193.46 |
2555 | 357.38 | 4.06 | 26.13 | 387.57 | 144.89 |
2556 | 794.07 | 4.27 | 25.46 | 823.80 | 436.23 |
2557 | 1,269.36 | 4.59 | 24.56 | 1,298.51 | 474.71 |
2558 | 1,389.55 | 4.87 | 25.16 | 1,419.58 | 121.07 |
2559 | 2,441.14 (2) | 4.98 | 28.82 | 2,446.12 | 1,026.54 |
2560 | 2,692.21 (2) | 5.05 | 29.09 | 2,697.26 | 251.14 |
2561 | 2,958.36 (2) | 4.08 | 26.06 | 2,962.44 | 265.18 |
หมายเหตุ: (1) การลด – เพิ่มของกำลังการผลิตมาจากการรื้อถอนระบบและการติดตั้งเพิ่ม
(2) กำลังการผลิตมาจากรวมทั้งหมดหักไม่เชื่อมต่อระบบฯ ของพพ. เท่านั้น
ตารางที่ 1: กำลังการผลิตสะสมและกำลังการผลิตรายปีของระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ปี พ.ศ. 2551 -2561
ที่มา : รายงานสถานภาพการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ของประเทศไทย ปี 2561
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
รูปที่ 1: แหล่งพลังงานไฟฟ้าของไทย
ที่มา: กระทรวงพลังงาน
รูปที่ 2: กำลังผลิตไฟฟ้ารวมตาม PDP 2018
ที่มา: กระทรวงพลังงาน
บทสรุป
การผลิตพลังงานเพื่อใช้เองจากพลังงานแสงอาทิตย์นอกจากจะประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ติดตั้งแล้วยังส่งผลดีต่อประเทศโดยรวม เพราะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ลดก๊าซเรือนกระจก ลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ผู้กำหนดนโยบายจึงควรคำนึงถึงประโยชน์ที่เกิดกับส่วนรวมตรงนี้ควบคู่ไปกับต้นทุนในการสำรองไฟฟ้าด้วย ทั้งนี้ หากภาครัฐต้องการเห็นความสำเร็จในการส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ก็ควรที่จะมุ่งลดข้อจำกัดต่าง ๆ ที่รัฐมองว่าจะเป็นอุปสรรคและสร้างภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยในอนาคต Blockchain และ Artificial Intelligence (AI) จะมีบทบาทมากขึ้นต่อรูปแบบนวัตกรรมของเทคโนโลยีพลังงาน รูปแบบการซื้อขายพลังงาน การผลักดันความเป็น Smart City จะมีส่วนในการกำหนดรูปแบบการผลิตและใช้พลังงาน
อ้างอิง
วิชสิณี วิบุลผลประเสริฐ และภวินทร์ เตวียนันท์. (2560). โซลาร์รูฟท็อปกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจไฟฟ้า. จากhttps://tdri.or.th/wp-content/uploads/2017/07/Solar-seminar-vFF-1.pdf
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย. (2560). วงเสวนา วสท. หนุนใช้โซลาร์รูฟท็อปพร้อมระบบเก็บกักพลังงาน แต่รัฐต้องเตรียมไฟฟ้าสำรอง และค่าไฟฟ้าไม่กระทบประชาชน. จากhttps://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2054%3A20170718-art01&catid=49&Itemid=251&fbclid=IwAR2QgzxK6hggdbVzdjhohj4rprtwc5gBrYPJyA7d5rlrbr9PLrU6qxYUBmA
ศูนย์ข่าวพลังงาน. (2562). อดีตผู้ว่ากฟผ.ห่วงโซลาร์เซลล์ที่มากเกินไปกระทบความมั่นคงไฟฟ้า. จาก https://www.energynewscenter.com/%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%95%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%9f%e0%b8%9c-%e0%b8%ab%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%8b%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%a3/?fbclid=IwAR2j9G8A-laySw-ExbwdtJw5w4sRJhUIrsDnZ4h3_5nKRmW9eiTYKIDU0mc
สำนักข่าวอิศรา. (2560). อัตราค่าไฟฟ้าสำรองกับความไม่เสถียรของกำลังไฟฟ้าแสงแดด: ปัญหาท้าทายด้านพลังงานไทย. จาก
https://www.isranews.org/isranews-article/57869-powwer.html
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. (ม.ป.ป.). “มอง” ให้เห็นโอกาสของพลังงานลมและแสงอาทิตย์ จาก 6 ความเชื่อ (Myths) และข้อเท็จจริง (Reality) เกี่ยวกับการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวนเข้ามาในระบบไฟฟ้า. จาก https://tdri.or.th/renewal-energy/?fbclid=IwAR21Mjm1zRzAONo64EDCry5q7eEJ45el1fHIduxz707v1kqtSiLRB0v_E2s
สัมภาษณ์ ดร.สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2563