ยักษ์ใหญ่พลังงานแสงอาทิตย์แห่งเอเชียกำลังเปลี่ยนนโยบาย

42. PJ3GiantsSB

สรุปประเด็นหลัก

  • จีนซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รายใหญ่ของเอเชีย กำลังปรับนโยบายใหม่ โดยลดการอุดหนุนจากภาครัฐลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และในปี พ.ศ. 2564 จะยกเลิกระบบ Feed-in Tariff และระบบการอุดหนุนอื่น ๆ
  • ญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชีย มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยยกเลิกระบบ FiT ปล่อยให้การรับซื้อไฟฟ้าเป็นไปตามกลไกตลาด ทำให้ราคารับซื้อกระแสไฟฟ้าจากระบบพลังงานทางเลือกลดลงอย่างมาก
  • การระบาดของโควิด – 19 และความตึงเครียดของความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับจีน ส่งผลกระทบต่อการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพราะอินเดียประกาศขึ้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ ซึ่งอุปกรณ์
    ที่นำเข้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์มาจากจีน

 

บทนำ

          ปี พ.ศ. 2563 เป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในแนวโยบายทางด้านพลังงานจากแสงอาทิตย์ของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งเป็น 3 อันดับแรกของผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่มากที่สุดในเอเชีย ด้วยปัจจัยสำคัญอันเนื่องมาจากสภาวะทางเศรษฐกิจ ต้นทุนการผลิตของพลังงานชนิดนี้ถูกลง ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ และโรคระบาดโควิด – 19 

 

วัตถุประสงค์ของบทความ

          เพื่อนำเสนอแนวโยบายทางด้านพลังงานจากแสงอาทิตย์ของประเทศผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้มากที่สุดในเอเชียอย่างจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย

 

3 ยักษ์ใหญ่พลังงานแสงอาทิตย์แห่งเอเชีย

          จีนตั้งเป้าว่า เมื่อสิ้นแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2559 – 2563) จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้ 105 กิกะวัตต์ แต่ปัจจุบันสามารถผลิตได้เกินเป้าหมายไปมากเป็นเท่าตัวแล้ว กล่าวคือ เมื่อสิ้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 จีนมีกำลังการผลิต 204.68 กิกะวัตต์ และในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตพลังงานไฟฟ้าให้จีนได้ 3.95 กิกะวัตต์ แม้ว่าจะเกิดภาวะโรคระบาดโควิด – 19 อย่างหนักในช่วงนั้นจนทำให้จีนต้องประกาศปิดเมืองและลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลงอย่างมหาศาลก็ตาม โดยมณฑลหรือเมืองที่ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากเป็นอันดับต้น ๆ ในช่วงนั้น คือ กวางตุ้ง 600 เมกะวัตต์ มองโกเลียใน 470 เมกะวัตต์ ซือเจียง 360 เมกะวัตต์ ชานซี 290 เมกะวัตต์ และซานตง 280 เมกะวัตต์ คาดว่าจีนจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างต่อเนื่องประมาณ 30 – 40 กิกะวัตต์ ในปี พ.ศ. 2563 นี้ 

          โครงการใหญ่ ๆ ที่สำคัญของจีน ได้แก่ เต็งเกอ โซลาร์ปาร์ก ในทะเลทรายที่จงเหว่ย หนิงเซีย มีกำลังการผลิตติดตั้ง 1,547 เมกะวัตต์ โครงการโซลาร์ปาร์ก หลงหยางเซีย ในมณฑงชิงไฮ่ กำลังการผลิตติดตั้ง850 เมกะวัตต์ โครงการฮวงเฮอ โซลาร์ปาร์ก ขนาด 500 เมกะวัตต์ และโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กันสือจินไต 200 เมกะวัตต์ 

          ภายใต้แผน 5 ปี ฉบับที่ 13 ดังกล่าว นโยบายของรัฐบาลจีนคือ ให้ความสำคัญกับการผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบสายส่ง (Grid parity) เป็นอันดับแรก รองลงมาคือ Utility scale + Distribute PV ถัดมาคือ ผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับที่พักอาศัย และสุดท้ายคือ ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อลดทอนความยากจน แต่ด้วยต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ลดต่ำลงเรื่อย ๆ ประกอบกับเทคโนโลยีทางด้านนี้มีความก้าวหน้ามากขึ้นจีนจึงมีนโยบายที่ลดการอุดหนุนการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ลง กระทรวงการคลังของจีนประกาศว่า งบประมาณในการอุดหนุนสำหรับพลังงานชนิดนี้ ในปี พ.ศ. 2563 จะอยู่ที่ 1,500 ล้านหยวน ลดลงจาก 3,000 ล้านหยวน ในปี พ.ศ. 2562 โดยแบ่งเป็น 500 ล้านหยวน สำหรับการติดตั้งบนหลังคา (Solar rooftop) และอีก 1,000 ล้านหยวน สำหรับการประมูลโครงการต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการผลิตอุปกรณ์และระบบการกระจายพลังงานไฟฟ้าด้วย

          การเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายที่สำคัญ ในปี พ.ศ. 2563 คือ การปรับราคานำร่องค่ากระแสไฟฟ้าลงอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ในปีนี้ ราคานำร่องสำหรับ Utility PV ลดลง 0.05 หยวน มาอยู่ที่ 0.35 หยวนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับโซน 1 สำหรับโซน 2 ลดลงเหลือ 0.40 หยวนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และลดลงเหลือ 0.49 หยวนสำหรับโซน 3 ส่วนการอุดหนุนสำหรับที่พักอาศัย ลดลง 0.1 หยวนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และในระบบสายส่งลดลง 0.05 หยวนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง

          หลิว เจียหลิน นักวิจัยอาวุโส ของแผนกประชาสัมพันธ์ สมาคมอุตสาหกรรมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประกาศเมื่อกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 ว่า รัฐบาลจีนมีแผนการว่า ในปี พ.ศ. 2564 จะยกเลิกระบบ Feed-in Tariff และระบบการอุดหนุนอื่น ๆ สำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย ความหมายของการลดการอุดหนุน คือ เพิ่มการแข่งขันในตลาด คาดว่าจีนจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 40
กิกะวัตต์ ในปี พ.ศ. 2564 และ 50 กิกะวัตต์ ในปี พ.ศ. 2565 แต่นั่นเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ซึ่งจะต้องรอดูว่าการผลิตที่เป็นจริงหลังออกนโยบายใหม่นี้จะเป็นอย่างไร

          ญี่ปุ่น ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย เป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นอันดับสองของเอเชียรองจากจีน แต่กำลังการผลิตนั้นยังห่างจากจีนหลายเท่าตัว สาเหตุเพราะปัจจัยของขนาดเศรษฐกิจและจำนวนประชากรที่แตกต่างกันมาก ในปี พ.ศ. 2561 ญี่ปุ่นผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานชนิดนี้ได้ 55.5 กิกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งของพลังงานทดแทนที่ญี่ปุ่นผลิตได้ ทางการญี่ปุ่นวางแผนว่า จะติดตั้งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้ 64 กิกะวัตต์ภายในปี พ.ศ. 2573 ถ้าหากถือเอาขีดความสามารถในปัจจุบันที่ญี่ปุ่นสามารถติดตั้งกำลังการผลิตได้ปีละ 4 – 6 กิกะวัตต์ ญี่ปุ่นจะสามารถมีกำลังการผลิตสะสม121 กิกะวัตต์ในปีดังกล่าว ซึ่งถือว่าเกินเป้าไปมาก อย่างไรก็ตาม งานวิจัยของ RTS Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาในโตเกียวคาดการณ์ว่า ญี่ปุ่นจะทำได้มากกว่านั้น กล่าวคือ ภายในปี พ.ศ. 2573 ประเทศญี่ปุ่นจะมีกำลังการผลิตติดตั้งสะสมมากถึง 153 กิกะวัตต์ ซึ่งจัดว่าได้มากกว่าที่รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายเอาไว้เกือบ 3 เท่าตัว 

          โครงการใหญ่ ๆ ที่สำคัญของญี่ปุ่น ได้แก่ เซโตชิ คิเร่ ที่โอกายามา ขนาด 235 เมกะวัตต์ โครงการยูรัส โรกกะโซ โซลาร์ปาร์กที่โอโมริ ขนาด 148 เมกะวัตต์ โครงการซอฟแบงค์ โตมาโตะ อบิรา 111 เมกะวัตต์
ที่ฮอกไกโด 

          อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งของอุตสาหกรรมการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นถือว่าเลยจุดสูงสุดมาแล้ว ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่า อยู่ในสภาพ “อยู่ตัว” จึงจำเป็นต้องมองหานโยบายใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของพลังงานกลุ่มนี้ ในญี่ปุ่นตื่นตัวเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์มากเมื่อ 10 ปีก่อน หลังจากเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิทำลายโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ฟูกูชิม่า เมื่อปี พ.ศ. 2554 ญี่ปุ่นก็มีแนวความคิดว่า ระบบผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กจากพลังงานแสงอาทิตย์น่าจะปลอดภัยกว่า ประชาชนจึงหันมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนที่พักอาศัยกันเพิ่มมากขึ้นจาก 500,000 ครัวเรือน ในปี พ.ศ. 2552 เป็น 530,000 ในปี พ.ศ. 2562 ตัวเลขอาจจะดูเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ในมาตรฐานญี่ปุ่นจัดได้ว่าสูง เมื่อเปรียบเทียบว่า ระบบไฟฟ้าจากแหล่งอื่นมีความมั่นคงอยู่พอสมควรแล้ว การเติบโตเช่นว่านั้นเป็นผลโดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ให้แรงจูงใจครัวเรือนผ่านระบบ FiT ที่รับซื้อกระแสไฟฟ้าจากครัวเรือนในราคา 48 เยนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งทำให้กำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งจากครัวเรือนและอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 7 – 9 กิกะวัตต์ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

          จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2562 เมื่อมีการยกเลิกระบบ FiT ปล่อยให้การรับซื้อไฟฟ้าเป็นไปตามกลไกตลาด ราคารับซื้อกระแสไฟฟ้าจากระบบพลังงานทางเลือกจึงลดลงอย่างมาก ตัวอย่างเช่น บริษัทไฟฟ้าชิโกกุ รับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานทางเลือกอื่น ๆ เพียง 7 เยนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง โดยบริษัทนำกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เหล่านี้ป้อนให้กับห้างอีออน ห้างนี้ก็สมนาคุณให้ครัวเรือนเพิ่มอีกเล็กน้อยด้วยคูปอง Shopping 1 พอยต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เรียกระบบนี้ว่า Renewable Energy Credit บริษัทไดวาก็ทำเช่นเดียวกัน โดยรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกในราคา 11.5 เยนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับครัวเรือนที่ซื้อแผงโซลาร์เซลล์จากไดวา และราคา 10 เยนสำหรับครัวเรือนที่ไม่ได้ซื้อแผงโซลาร์เซลล์จากบริษัทไดวา บริษัทอื่น ๆ ก็รับซื้อในราคาที่ไม่แตกต่างจากนี้มากนักในเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป 

          ผลจากนโยบายดังกล่าวทำให้คนญี่ปุ่นคิดที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าแค่เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟเท่านั้น เพราะราคาขายส่วนเกินไม่จูงใจมากนัก ในขณะที่บริษัทที่ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ก็เพียงแต่ผลิตป้อนระบบสายส่งภายใต้ระบบ Feed in Premium (FiP) ซึ่งมีกำหนดจะเริ่มใช้ในปีหน้า สำหรับระบบขนาด 10 – 50 กิโลวัตต์นั้น มีเงื่อนไข 2 อย่าง คือ ต้องผลิตใช้เองในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และจะรับกระแสไฟฟ้าเมื่อระบบใหญ่เกิดขัดข้องเท่านั้น โดยราคารับซื้ออยู่ราว ๆ 12 – 13 เยนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง 

          อินเดีย เป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย ด้วยกำลังการผลิต 39 กิกะวัตต์ในปัจจุบัน โดยอินเดียตั้งเป้าจะผลิตให้ได้ 100 กิกะวัตต์ ภายในปี พ.ศ. 2566 อินเดียจัดได้ว่ามีศักยภาพทางด้านพลังงานแสงอาทิตย์ค่อนข้างสูงและเหมาะที่จะผลิตกระแสไฟฟ้า เนื่องจากพื้นที่ประเทศกว้างใหญ่ ประชากรมาก และที่สำคัญคือ ระบบสายส่งไฟฟ้ายังเข้าไปถึงชุมชนอีกมาก

          โครงการสำคัญ ๆ ในอินเดีย ประกอบไปด้วย ปาวากาดา โซลาร์ปาร์ก ขนาด 2 กิกะวัตต์ ในการ์นาทากา โครงการเกอร์นูล อัลตราเมกะโซลาร์ปาร์ก ขนาด 1 กิกะวัตต์ ในอัลตระประเทศ และโครงการกามูที ขนาด 648 เมกะวัตต์ ในทมิฬนาดู 

          ในจำนวนของกำลังการผลิตสะสมทั้ง 39 กิกะวัตต์ในปัจจุบันนั้น แบ่งเป็นส่วนที่มาจากโครงการหรือโรงงานขนาดใหญ่ 32,176 เมกะวัตต์ จากครัวเรือนคือรูฟท็อป 5,740 เมกะวัตต์ และ 978 เมกะวัตต์เป็นระบบย่อยที่อยู่นอกระบบสายส่ง โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ยังมีโครงการต่าง ๆ ที่กำลังได้รับการพัฒนาและก่อสร้างอีกหลายโครงการที่มีกำลังการผลิตรวมแล้ว 28,972 เมกะวัตต์

          อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ใหม่ได้ส่งผลต่อการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้การผลิตลดลงมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ อันเนื่องมาจากการปิดเมืองและงดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ด้วย ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เมื่อโรคโควิดเริ่มระบาดในประเทศอินเดีย การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นน้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1,864 เมกะวัตต์ ค่อนข้างมาก กล่าวคือ สามารถผลิตได้ 989 เมกะวัตต์ ในจำนวนนั้น 70 เปอร์เซ็นต์คือ 689 เมกะวัตต์มาจากโรงงาน และอีก30 เปอร์เซ็นต์คือ ประมาณ 300 เมกะวัตต์ มาจากโซลาร์รูฟท็อปของครัวเรือน

          นายกรัฐมนตรี นเรนทรา มูดี ได้เรียกร้องเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า ให้รัฐต่าง ๆ ส่งเสริมการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคามากขึ้น โดยรัฐบาลอินเดียมีนโยบายส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับโครงการเหล่านี้อย่างชัดเจน ซึ่งรัฐบาลเพิ่งจะผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายไฟฟ้าเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพื่อเป็นการเอื้ออำนวยต่อการพัฒนากระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้มากขึ้น 

          แต่กฎหมายใหม่และข้อเรียกร้องทางนโยบายของรัฐบาลอินเดียอาจจะไม่ส่งผลกระทบในทางบวกต่ออุตสาหกรรมการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในระยะสั้น เพราะนอกจากวิกฤตโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแล้ว ความขัดแย้งเรื่องชายแดนระหว่างจีนและอินเดียก็ส่งผลกระทบต่อการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน รัฐบาลอินเดียเพิ่งประกาศเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า จะเก็บภาษีศุลกากรวัสดุอุปกรณ์สำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเป็นประมาณ 20 – 25 เปอร์เซ็นต์ และจะขึ้นให้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ภายใน 1 ปี ผลกระทบจากนโยบายนี้คือ วัสดุอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมนี้ส่วนใหญ่นำเข้าจากจีนด้วยอัตราภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ และจะขึ้นไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เมื่อปีที่แล้วอินเดียนำเข้าอุปกรณ์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,694 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะประกาศว่า จะส่งเสริมการผลิตวัสดุอุปกรณ์นี้ภายในประเทศมากขึ้น แต่ก็น่าเป็นห่วงว่าจะไม่ทันเวลา ซึ่งผลคือ จะทำให้ต้นทุนในการติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นในระยะที่อุตสาหกรรมในประเทศยังไม่สามารถตอบสนองต่อความการได้ ทำให้ศักยภาพของอินเดียในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานชนิดนี้จะลดต่ำลงไปด้วย

 

เขต พื้นที่
1 หนิงเจีย ชิงไฮ่ ไฮ่สี กันสือ เจียหยูกวน วู่เว่ย จางยี่ จิวกวน ดุนฮวง จินชาง ซินเจียง ฮามี ต้าเชง อัลไต การาเมย มองโกเลียใน
2 ปักกิ่ง เทียนจิน เหอหลงเจีย จีหลิน เหลียวหนิง ซือสวน หยูนนาน มองโกเลียในเฉพาะฉีเฟง ตงเหลียว ซินกันเมง ฮุนลุน บุย เหอเป่ยเฉพาะเชิงเต๋อ จางเจียกู ตังชาง ชิงฮวงด่าว ซานสีเฉพาะต้าตง ซูโจว ซินโจว ซานสี เฉพาะยู่หลินย่าหนาน ชิงไฮ่ (ไม่รวมที่อยู่ในเขต 1) ซินเจียง (ไม่รวมที่อยู่ในเขต 1)
3 พื้นที่ซึ่งไม่อยู่ใน 2 เขตข้างต้น

 

ตารางที่ 1: เขตพื้นที่และอัตราค่าไฟฟ้าของจีน
ที่มา: DBS Asia Insight 2016

 

บทสรุป

          แม้ว่าสามประเทศยักษ์ใหญ่ของเอเชียจะยังคงได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นอันดับต้น ๆ อยู่ก็ตาม แต่เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบาย ความอิ่มตัวของตลาดในระยะที่ผ่านมา ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลังการระบาดใหญ่ของโควิด – 19 ทำให้บางประเทศเผชิญกับปัญหา คือ ความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกชนิดนี้ลดลง ปัญหาคือ จะสามารถออกนโยบายใหม่ ๆ ที่มีความสร้างสรรค์และสามารถรับมือกับสถานการณ์ใหม่ได้เหมาะสมและทันท่วงทีหรือไม่

 

อ้างอิง

Brian Publicover. (2019).  Japan could install 150 GW by 2030- report. From https://www.pv-magazine.com/2019/03/18/japan-could-install-150-gw-by-2030-report/ 

DBS bank Asia Insight. Renewable Energy in China: transition to low carbon economy. Sector briefing no. 31 November 2016. 

Emiliano Bellini. (2019).  Solar and wind make coal unprofitable in Japan. From https://www.pv-magazine.com/2019/10/07/solar-and-wind-make-coal-unprofitable-in-japan/ 

Emiliano Bellini. (2020).  China’s entering post FiT era with solid prospect. From https://www.pv-magazine.com/2020/06/17/china-entering-post-fit-era-with-solid-prospects/ 

Frank Haugwitz. (2020). Where next for China’s energy transition?. From https://www.pv-tech.org/guest-blog/where-next-for-chinas-energy-transition 

Junichi Katayama. (2019).  A year for transition: Japan’s move beyond the big scale. From https://www.pv-magazine.com/2019/03/18/a-year-for-transition-japans-move-beyond-the-big-scale/ 

Junko Movellan. (2019).  End of residential FIT in Japan, Post-FIT RECs go to RE100 companies. From https://www.renewableenergyworld.com/2019/11/19/end-of-the-residential-fit-in-japan-post-fit-recs-go-to-re100-companies/#gref 

Carbon Tracker. (2019).  Land of Rising Sun and Offshore Wind. From https://carbontracker.org/reports/land-of-the-rising-sun/ 

 NS Energy. (2019).  Top five solar power producing countries in Asia. From https://www.nsenergybusiness.com/features/top-solar-power-countries-asia/ 

Uma Gupta. (2020).  PV import to face 20-25 % custom duty in India. From https://www.pv-magazine.com/2020/06/26/pv-panel-imports-to-face-20-25-customs-duty-in-india-from-august/ 

Uma Gupta. (2020).  Covid delayed 63% of India’s utility-scale solar in first quarter. From https://www.pv-magazine-india.com/2020/06/02/covid-cuts-indias-utility-scale-solar-addition-by-63-in-first-quarter/ 

Vincent Shaw. (2019).  CPIA: China will add 40 GW of Solar in 2020. From https://www.pv-magazine.com/2019/12/13/cpia-china-will-add-40-gw-of-solar-in-2020/ 

Vincent Shaw. (2020).  China added almost 4GW of solar in first quarter despite of COVID 19. From https://www.pv-magazine.com/2020/05/20/china-added-almost-4-gw-of-solar-in-first-quarter-despite-covid-19/ 

Vincent Shaw. (2020).  China finalizes 2020 solar subsidy policy. From https://www.pv-magazine.com/2020/04/09/china-finalizes-2020-solar-subsidy-policy/ 

preload imagepreload image